วันนี้ขอนอกเรื่อง Testing ซักหน่อย มาพูดถึงเรื่องการทำงานของเหล่า QA Hive founder กันบ้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้เราพยายามนิยาม รูปแบบ และขอบเขตการทำงานให้ชัดเจน โดยคำพูดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวก็คือ Work-Life Balance คำพูดติดปากตั้งแต่ผมจบใหม่ๆ จนตอนนี้ผมของผมเริ่มจะหงอกแล้ว ซึ่งก็ไม่เคยจะทำให้มันเป็นจริงได้ซักครั้งเดียว สุดท้ายเรามองว่าถ้าเราปรับไปหา Balance ระหว่างชีวิตกับการทำงานไม่ได้ ก็ทำให้งานกับชีวิตรวมเป็นหนึ่งไปซะเลยดีกว่า เราปรับเปลี่ยนอะไรบ้างมาดูกันเลย

นอนต้องเพียงพอ

ทุกวันนี้ผมเข้านอนประมาณ 5 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน ตื่น 6 โมงเช้า ก็ถือว่าได้ 6 – 7 ชั่วโมงเลย
แต่ไม่ใช่แค่ชั่วโมงนอน สภาวะก่อนนอนก็สำคัญมาก ที่นอนกลั้นใจซื้อแบบดีหน่อย ให้เวลานอนจะได้เต็มอิ่ม และแน่นอนต้องมีแอร์ ไม่เปิดไม่ไหว ยุงเยอะมากกกกกก ก่อนนอนผมจะชอบดูสารคดีสัตว์โลก ดูการ์ตูนครอบครัว ชินจัง มารูโกะ โดเรมอน ดูแล้วให้สบายใจเหมือนกลับไปเป็นวัยเด็ก และลดความเครียดในแต่ละวันให้ไม่คิดถึงงาน ก่อนหน้าลองดูพวก podcast technology อ่าน Blog กลายเป็นฟุ้งซ่าน ไอเดียบรรเจิด จะมาบรรเจิดไรตอนตีสองตีสามเนี่ย กลายเป็นนอนไม่พอซะงั้น

พักกายแล้ว ก็พักใจ

แหล่งพักใจของผมทุกๆเช้าคือสวนหย่อมในบ้าน หน้าที่หลักคือรดน้ำทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน ทุกครั้งที่ทำจะรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้ธรรมชาติอีกครั้ง
สัตว์เลี้ยงก็ช่วยได้ ที่บ้านเราเลี้ยงแมว เค้าก็คอยช่วยทำให้เรายิ้มได้ตลอดกับท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นเอง

เวลาทำงาน

จากเดิมที่คนมองว่า วันละ 8 ชั่วโมง ดีที่สุด ผมเห็นด้วยมาก แต่เอาเข้าจริง ผมมักจะมีงานจุกจิกเสมอๆ ซึ่งผมเลยขยายเวลาทำงานต่อวันเพิ่ม โดยแต่ละอาทิตย์จะมีชั่วโมงทำงานประมาณ 60 – 70 ชั่วโมง เฉลี่ยๆวันละ 11 ชั่วโมง
และก็ต้องประหยัดเวลาที่ไม่จำเป็นออกเพื่อมีเวลาส่วนตัวให้มากเช่น ลดเวลากินข้าวเที่ยงให้เหลือซัก ครึ่งชั่วโมง กลางวันผมชอบไปกินคนเดียว เพราะรีบกินรีบเสร็จ ไม่ต้องรอใคร วันไหนใช้ BTS ก็อ่าน ฺฺBlognone ขากลับก็ติดหนังสือมาอ่านซักเล่น ปกติผมเริ่มตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตื่นปุ้บก็ไถตัวไปโต๊ะทำงานเลย โดยผมมักเอางานที่ต้องใช้ความคิดมาทำ เพราะเช้านี่หัวจะไวมาก เงียบ และยังไม่ใครมาคอยกวนใจ ไม่ต้องตามงานลูกน้อง อัพเดทงานกับลูกค้าให้วุ่นวายใจ อะไรที่ติดระหว่างวันแก้ตอนเช้าแป้ปเดียวเสร็จ แล้วก็ลากยาวไป 7:30 ค่อยไปรดน้ำต้นไม้อาบน้ำไปทำงาน หลังจากนั่นก็ยาวไปจนหมดวัน อ้อลืมบอกไป ผมทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน จันทร์ – เสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ไว้เรียนรู้พัฒนาทักษะเพิ่มเติม

ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อกับการทำงาน

เราออกแบบบ้าน โดยวาง concept ให้กับ Interior design ว่าต้องสามารถทำงานจากมุมไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงานหลัก ห้องดูทีวี หรือแม้แต่ห้องนอน พอเป็นแบบนี้ เราก็ไม่มีข้ออ้างจะขี้เกียจอีกต่อไป ^ ^

เริ่มจากห้องนอน โดยจะใช้สำหรับทำงานช่วงเช้าก่อนออกไปออฟฟิศ แค่ไถตัวมาก็ลุยงานได้เลย

โต๊ะทำงานหลักสำหรับทำงานช่วง เสาร์ อาทิตย์

ปรับโซฟาให้ทำงานได้ด้วย เพราะบางครั้งงานก็ต้องทำ หนังก็อยากดู และนี่คือบทสรุปครับ ^ ^

สิ่งที่ต้องเสียสละ และคนที่เรารัก

ผมต้องบอกเลยว่าต่อให้ทำทุกอย่างตามที่บอกมา เวลาทำงานแม่งก็ยังไม่เคยพอ ไม่ใช่ว่าเราเพิ่มแต่เวลางาน เราจำเป็นต้องปรับวิธีการทำงานให้ Effective มากที่สุดด้วยครับ และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ เนื่องจากเวลาไม่พอ เราจึงต้องเสียสละเวลาหลายๆอย่าง เช่น เวลาที่จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ ซึ่งเหล่านี้ก็จำเป็นต้องสื่อสาร ให้กับคนรอบตัวเข้าใจเช่นกัน ว่าเราไม่ใช่ไม่เอาใจใส่ แต่การที่จะตามความฝัน บางครั้งเราเองจำเป็นต้องเสียสละบางอย่าง เพื่อให้ได้มาครับ และทุกๆคนรอบตัวก็เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี ทำให้ทุกๆวันเราลุยกับเป้าหมายได้อย่างเต็มที่นั่นเอง ^ ^

 

 

 

Previous articleถ้า NSP ยังไม่พอใช้ แนะนำ Chain locator สำหรับ iOS ที่ใช้งานแบบเดียวกับ XPath แต่ไวกว่าเยอะ
Next articleแก้ปัญหา Manual Tasks ด้วย Robot Framework และ ExcelDataDriver RPA Library กัน